วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิบากกรรมออนไลน์




       กรุณาส่งข้อมูลนี้..ถึงคนชอบด่าพระ!!!

       ไม่ใช่จะบังคับให้เค้าเลิกด่าหรอกครับ
       แต่เป็นเพราะ"รัก"จึงอยากให้รู้
       ก่อนจะหมดโอกาสรับรู้ถึงหายนะของมัน !!!

       ในยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า..การด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ เป็นสิ่งไม่ผิด ซ้ำร้ายยังคิดว่า..เป็นการช่วยพระพุทธศาสนาอีกด้วย เพราะเท่ากับเป็นการกำจัดพระไม่ดีให้หมดไป !!!

ก่อนจะปักใจดิ่งทำตามความคิดข้างบน ผู้เขียนก็อยากจะเล่าเรื่องวิบากกรรมเก่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฟังเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจอะไรใหม่ เพราะการทำบาปโดยไม่รู้ว่าบาป ย่อมส่งผลรุนแรงมากกว่าการรู้แล้วทำ เสมือนการไม่รู้ว่าก้อนถ่านไฟนั้นร้อน แล้วรีบคว้าจับเต็มมือย่อมร้อนมากกว่าการรู้ว่าร้อนแล้วจับ เพราะถ้ารู้ว่าร้อน เราก็จะจับมันอย่างระมัดระวัง !!!

จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค และ อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน เมฆิยวรรคที่ ๔ สุนทรีสูตร ทำให้เข้าใจกระจ่างชัดว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะหมดกิเลสแล้ว ก็ยังต้องรับกรรมที่เคยทำมาในอดีต อย่างในเรื่องที่ท่านถูกใส่ร้าย ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง เป็นเพราะวิบากกรรมเก่าครั้งที่พระพุทธองค์เคยเสวยพระชาติเป็นนักเลงชื่อว่า “มุนาฬิ”

ในวันหนึ่ง “มุนาฬิ” ได้ไปเที่ยวป่ากับเพื่อนๆ แล้วเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า “สุรภิ” ซึ่งเป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก แต่แทนที่จะเกิดความเลื่อมใส กลับรู้สึกว่าท่านเอาแต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้กล่าวสอนใคร มีแต่จะรอรับอาหารจากชาวบ้าน จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า ท่านเป็นพระทุศีล ห่มจีวรหลอกชาวบ้าน ไม่ยอมทำมาหากิน มัวแต่เที่ยวเดินขออาหารจากชาวบ้าน โดยไม่มีความละอายแก่ใจ

ด้วยกรรมนี้ ทำให้ “มุนาฬิ” ตกนรกหมกไหม้ทนทุกข์ทรมานหลายพันปีนรก จนมาในภพชาติสุดท้าย แม้พระองค์จะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังหนีกรรมนั้นไม่พ้น ทำให้พวกเดียรถีย์อิจฉาริษยาคิดหาอุบายวางแผนใส่ร้าย โดยส่งปริพาชิกาที่ชื่อ “สุนทรี” เดินเข้าเดินออกในวัดพระเชตวันอยู่ ๒-๓ วัน ทำทีว่าไปพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นเดียรถีย์จึงจ้างโจรให้ไปฆ่านาง แล้วนำศพโยนทิ้งไว้หลังพระคันธกุฎี จากนั้นก็ทำแผนชั่วใส่ความว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนฆ่านาง ทำให้มีคนคนหลงเชื่อมากมาย แล้วพากันด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยคำหยาบคาย

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พระองค์ยังเคยถูก “นางจิญจมาณวิกา” กล่าวตู่ว่าได้นอนในพระคันธกุฎีร่วมกับพระพุทธองค์จนนางตั้งครรภ์ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนหลงเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพราะภพในอดีต พระองค์เคยกล่าวตู่พระอรหันต์องค์หนึ่งที่ชื่อ “นันทะ” ด้วยบาปกรรมนี้ ท่านจึงต้องตกนรกเสวยทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งหมื่นปีนรก จนเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ยังถูกกล่าวตู่มากมาย แม้ภพชาติที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว กรรมก็ยังตามส่งให้พระองค์ถูกนางจิญจมาณวิกากล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงต่อหน้าสาธารณชน


จะเห็นว่า..แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งหมดกิเลสเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนี้ ก็ยังมีคนด่าว่าใส่ร้ายถึงเพียงนี้ แต่ที่น่าตกใจเป็นที่สุด ก็คือ กลับมีคนจำนวนมากมายหลงเชื่ออีกด้วย !!!

มาในยุคนี้ก็เช่นกัน ขนาด สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นถึงพระระดับสูงสุดก็ยังโดนด่าว่าใส่ร้ายป้ายสี ตลอดจนพระรูปอื่นๆ หรือแม้แต่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (พระธัมมชโย) ก็ยังโดนด่า โดนตัดต่อภาพ โดนทำเฟสบุ๊คปลอม ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเล่นเฟสบุ๊คเลย ซ้ำร้ายยังส่งข้อมูลเท็จใส่ร้ายท่านในโลกไซเบอร์ โดยที่ยังไม่รู้จริงเลยว่าท่านเป็นอย่างไร

ตรงนี้ก็อยากให้ระวังมากๆ เพราะกรรมที่ทำกับพระที่ท่านไม่ได้ประทุษร้ายตอบมีผลมากกว่าที่คาดคิดไว้เยอะ ดังคำที่ปรากฏใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ สรุปความว่า...

ผู้ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบจะได้รับความหายนะ ๑๐ อย่าง คือ...

๑.ได้รับเวทนากลั่นกล้าจากโรคร้าย เช่น โรคเกี่ยวกับศีรษะเป็นต้น ๒.เสื่อมทรัพย์ที่ได้โดยยาก ๓.สรีระสลาย เช่น โดนตัดมือเป็นต้น ๔.ป่วยหนักด้วยโรคต่างๆ เช่น อัมพาต มีตาข้างเดียว เปลี้ยง่อย เป็นโรคเรื้อน เป็นต้น ๕.เป็นบ้า ๖.ต้องโทษจากพระราชา เช่น โดนถอดยศลดตำแหน่ง เป็นต้น ๗.ถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๘.ถึงความย่อยยับแห่งเครือญาติ ไร้ที่พึ่งพำนัก ๙.โภคทรัพย์ที่มีอยู่จะเสื่อมสูญพินาศ ๑๐.ไฟไหม้ และหลังจากตายไปแล้วก็ต้องตกนรก             

จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นว่า..กรรมย่อมตกกับผู้กระทำอย่างสาสมไปทุกภพทุกชาติ เพราะขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แม้ท่านมีบุญมากขนาดนี้ ในชาติสุดท้ายท่านก็ยังต้องรับผลกรรมถึงเพียงนี้เลย ดังนั้น บุคคลธรรมดา ๆ ที่บุญบารมีน้อยกว่าท่าน ก็ลองคิดดูเถอะว่า..จะได้รับกรรมหนักกว่าท่านขนาดไหน !!!

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยต่อว่า แล้วถ้าอยากจะช่วยพระศาสนาอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ๆ  จะต้องทำอย่างไร ???

ตรงนี้ขอตอบว่า..ชาวพุทธก็ต้องทำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เราไม่ว่าร้ายใครเลย เพราะมันเป็นบาป !!!

จากประโยคนี้ บางคนอาจเถียงในใจว่า แล้วถ้าพระทำผิดล่ะ เราจะปล่อยไว้เฉย ๆ ให้ท่านอยู่เหนือกฎหมายงั้นหรือ ?

ข้อนี้..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงหาแนวทางแก้ไขโดยบัญญัติพระวินัยไว้สำหรับตรวจสอบพระภิกษุผู้กระทำผิดแล้ว อีกทั้งยังบัญญัติบทลงโทษเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าพระทำผิดจริงๆ พระองค์ก็จะให้หมู่สงฆ์เป็นผู้จัดการกันเองให้เสร็จก่อน โดยไม่ให้คนธรรมดาอย่างเราๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง และถ้าทางสงฆ์สรุปออกมาแล้วว่า ท่านผิดร้ายแรงถึงขั้นปาราชิก ก็ค่อยสึกออกมาเข้าสู่ขั้นตอนของกฎหมายบ้านเมืองต่อไป

มาดูอย่างกรณีของพระธัมมชโย นับว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่สุด เพราะท่านเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพิสูจน์เลยว่าท่านผิดหรือไม่ แต่กลับก็มีบางคนออกมาให้ข่าวสร้างกระแสกดดันให้คนนั้นคนนี้มาจับท่านสึก หรือปลดท่านออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งการกระทำที่ผิดขั้นตอนขนาดนี้ ช่วยตอบหน่อยว่ายุติธรรมหรือไม่ ???

แล้วที่สำคัญหากมีพระรูปใดรูปหนึ่งทำผิด แม้ศีลท่านจะด่างพร้อย แต่ท่านก็ยังมีศีลมากกว่าเราที่ไม่ได้บวช ซึ่งถ้าไปด่าท่าน ยังไงเราก็บาปหนักอยู่ดี หรือแม้ด่าแล้วจะได้ความสะใจกลับมา แต่ต้องแลกด้วยการชดใช้กรรมอย่างสาหัสต่าง ๆ นานา เหมือนใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต พยสนสูตร ได้กล่าวถึงครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงชี้โทษให้แก่พระภิกษุที่ด่าเพื่อนภิกษุด้วยกัน หรือด่าว่าพระอรหันต์ว่า..จะเข้าถึงความหายนะ ๑๐ อย่าง อันได้แก่...

๑.ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ  ๒.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๓. สัทธรรมที่มีอยู่ย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๔.จะหลงตัวเองว่าได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๕.จะไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ ๖. ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๗. ย่อมป่วยเป็นโรคอย่างหนัก ๘. เป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๙.จะหลงตาย คือ ตายแบบไม่รู้ตัว ๑๐. เมื่อตายไปย่อมไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จะเห็นว่า แม้พระภิกษุซึ่งมีศีลระดับเดียวกันด่ากันเองยังบาปหนัก จนต้องเข้าถึงความหายนะกันขนาดนี้ ดังนั้นเราในฐานะเป็นคนธรรมดา ๆ ที่รักษาศีลบ้างไม่รักษาศีลบ้าง ถ้าไปด่าว่าพระภิกษุจะบาปหนักขนาดไหน ก็ต้องลองคิดดูกันเอาเอง  !!!

จากการรับข้อมูลมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงตัดสินใจได้แล้วว่า  จะเลือกด่าพระต่อไปหรือไม่ ???

แต่หลายคนอาจยังไม่หายคาใจและคิดว่า..ยังไงการด่าพระก็ยังเป็นขบวนการที่เข้ามาช่วยพระศาสนาอยู่ดี !!!

ถ้ายังไม่เคลียร์ข้อนี้ เชิญคลิกเพื่อหาคำตอบในบทต่อไป

รออะไร..คลิกเลย
http://hot-answer.blogspot.com/2016/06/blog-post_70.html




คลิกอ่านเรื่อง การด่าพระ เป็นขบวนการช่วยศาสนา

หรือเป็นขบวนการทำลายศาสนากันแน่ ???


คลิกเลย




13 ความคิดเห็น:

  1. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อลิขิตหรือตัดสินใคร เราเกิดมาเพื่อแก้ไขตัวเราเอง
    เกิดเป็นคนแสนยากไตร่ตรองให้ดีก่อนนะ อย่าให้เสียชาติเกิด

    ตอบลบ
  2. ขนาดพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ยังหาว่าเป็นของปลอมเลย
    ไม่ต้องพูดอะไรมาก รู้ๆกันอยู่ หลอกใครก็ได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. หาความจริงให้พบ แล้วจะเข้าใจ

      ลบ
  3. ขนาดพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ยังหาว่าเป็นของปลอมเลย
    ไม่ต้องพูดอะไรมาก รู้ๆกันอยู่ หลอกใครก็ได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะ

    ตอบลบ
  4. อยากรู้ความจริงของพระลิขิต ไปอ่านที่เพจเฟสบุ๊คศิษย์ธรรมยุตดูนะ https://www.facebook.com/thailandmonks/posts/1304219259592935

    ตอบลบ
  5. เพราะไม่รู้ถึงมาพบวิบากกรรมหนักเช่นนี้

    ตอบลบ
  6. ผู้ที่ไม่รู้เมื่อมีผู้บอกแล้วกลับใจกลัวบาปกรรมบุคคลประเภทนี้ยังมีโอกาสแก้ไขตนเอง แต่ ผู้ที่รู้แล้วแต่ก็ยังกระทำอีกบุคคลประเภทนี้ซิน่าสงสารเหลือเกิน

    ตอบลบ
  7. กรรมใดใครก่อ ใครผู้นั้นย่อมรับกรรม ที่ได้กระทำนั้นเอง.

    ตอบลบ
  8. คนไทยตอนนี้ทำบาปกันเยอะมาก เพราะไมศึกษา เอาแต่ริษยาผู้อื่น

    ตอบลบ
  9. กฏแห่งกรรม...ย่อมเที่ยงแท้เสมอ...ต่างจากกฏหมายที่
    มนุษย์เขียน..เพราะมันบิดเบือนได้..ทำผิดเป็นถูก...แต่
    กฏแห่งกรรม...ไม่ละเว้นผู้ใด..ทำดีได้ดี..ทำชั่วได้ชั่ว.
    ไม่ว่าคุณจะใหญ่แค่ใหนจะยากดี มี จน..ย่อมได้รับผลแห่ง
    บ่วงกรรมที่ได้กระทำไว้...กฏแห่งกรรม..จึงเที่ยงแท้

    ตอบลบ
  10. เป้าหมายชีวิต
    ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี

    ตอบลบ
  11. เป้าหมายชีวิต
    ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี

    ตอบลบ
  12. งั้นด่าพุทธอิสระก้อปาปล่ะสิเนี้ย

    ตอบลบ